ในอดีต “Stroke” หรือโรคหลอดเลือดสมอง มักถูกมองว่าเป็นโรคของผู้สูงวัย แต่ในปัจจุบัน กลับพบผู้ป่วยอายุน้อยลงเรื่อย ๆ บางคนอายุไม่ถึง 30 ปี ก็เกิดอาการเฉียบพลันจนเป็นอัมพฤกษ์ - อัมพาตได้ในพริบตา การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ พฤติกรรมการกิน / การนอน / ความเครียดสะสม กลายเป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดในสมองเสื่อมก่อนวัยโดยไม่รู้ตัว
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง เกิดจากหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน หรือแตก
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือ ภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและสารอาหาร ส่งผลให้เซลล์สมองบางส่วนตายภายในไม่กี่นาที หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดความพิการถาวร หรือเสียชีวิตได้
ประเภทของ Stroke แบ่งได้ 2 ประเภทหลัก
- Stroke ชนิดตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) เกิดจาก ลิ่มเลือดหรือคราบไขมัน ไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้พบได้ประมาณ 80% ของผู้ป่วย Stroke
- Stroke ชนิดหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke) เกิดจาก หลอดเลือดในสมองแตก ทำให้มีเลือดออกในเนื้อสมอง หรือรอบ ๆ สมองมักรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตมากกว่าชนิดตีบ
อาการที่ควรรีบพบแพทย์ทันที (สังเกตง่ายด้วยคำว่า “FAST”)
• F (Face) - ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ยิ้มแล้วมุมปากตก หนังตาตก
• A (Arms) - แขนขาอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น หรือชา
• S (Speech) - พูดช้า พูดไม่ชัด พูดติดขัด หรือพูดไม่ได้
• T (Time) - เวลาเร่งด่วน! โทรเรียกรถพยาบาล หรือนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ทำไม Stroke ถึงอันตราย?
- สมองควบคุมการทำงานของร่างกายทั้งหมด
- เมื่อสมองขาดเลือดนานเกิน 4–6 นาที เซลล์สมองจะเริ่มตาย
- หากรอดชีวิต อาจเกิดภาวะ อัมพฤกษ์ อัมพาต พูดไม่ได้ หรือสูญเสียความทรงจำ
แม้คนสูงอายุจะยังเป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก แต่ปัจจุบันพบว่า คนวัยรุ่นและวัยทำงาน เริ่มเป็นมากขึ้นเพราะ
พฤติกรรมเสี่ยง เช่น นอนดึก เครียด กินอาหารไม่ดี สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย
โรคประจำตัวเกิดเร็วขึ้น เช่น ความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
ใช้ชีวิตเร่งรีบ ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
• ควบคุมโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือด
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3–5 วัน
• กินอาหารมีประโยชน์ ลดเค็ม มัน หวาน เพิ่มผัก ผลไม้ และธัญพืช
• หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงหลอดเลือดตีบและแตก
• พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพราะความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อความดันและหัวใจ
• ตรวจสุขภาพประจำปี แม้ไม่มีอาการ เพื่อรู้ความเสี่ยงล่วงหน้า